วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Real Trip : สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น วันที่ 3

26/07/2010 : วันที่ 3 ของการเดินทาง ณ ลำปาง 


       ในวันนี้เราได้เดินทางมาศึกษารูปแบบอาคารยัง วัดพระธาตุดอนเต้า หรือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ต.เวียงเหนือ อ.เมือง จ.ลำปาง พระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เป็นวัดที่เก่าแก่และสวยงามมีอายุนับพันปี เป็นที่ตั้งของพระบรมธาตุดอนเต้า ซึ่งเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า มณฑปศิลปะพม่า ลักษณะงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งมีอายุเก่าแก่ พอๆ กับการสร้างวัดนี้ นอกจากนี้ยังมีวิหารหลวงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติล้านนา และวิหารพระเจ้าทองทิพย์

       เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า "วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม" มีตำนานกล่าวว่า นางสุชาดา ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (หมากเต้า) แล้วนำมาถวาย พระเถระรูปนั้นจึงจ้างช่างให้นำมรกตนั้นไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ซึ่งก็คือ พระแก้วดอนเต้า ซึ่งต่อมาได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงสาเหตุ จากตำนานบอกว่า มีผู้ไปฟ้องเจ้าเมืองลำปางในขณะนั้นว่า พระเถระและนางสุชาดาเป็นชู้กัน เจ้าเมืองลำปางจึงให้จับนางสุชาดาไปประหารชีวิต ส่วนพระเถระองค์นั้นทราบข่าวก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปหนีไป โดยได้นำไปฝากไว้ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน ส่วนสถานที่ตั้งบ้านของนางสุชาดา ก็ได้มีผู้มีจิตศรัทธาในคุณงามความดีของนาง บริจาคเงินสร้างวัดขึ้นชื่อวัดสุชาดาราม แต่มีบางสันนิษฐานบอกว่าเนื่องจากวัดพระแก้วดอนเต้า และ วัดสุชาดาราม นั้นร้างลง แต่บางที่ก็มีการสันนิษฐานเพิ่มว่า น่าจะเป็นเพราะย่านนี้เป็นสวนหมากเต้า และเป็นที่ดอน จึงชื่อพระธาตุว่า พระบรมธาตุดอนเต้า และชื่อวัดว่า วัดพระธาตุดอนเต้า และต่อมาเมื่อมีการประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระแก้วดอนเต้า      
      

อาจารย์จิ๋วกำลังอธิบายความเป็นมา รวมไปถึงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุดอนเต้า
   
       อาคารอุโบสถขนาดเล็ก หลังคา 2 ชั้น 2 ตับ มุขหน้าเป็นระเบียงโถง บันไดนาคใช้จังหวะการทอดตัวของนาคตามแบบที่นิยมกันในล้านนา



       วิหารลายคำสุชาดาราม เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาสกุลช่างเชียงแสน สร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ.2324-2352 มีขนาดใหญ่ หลังคา 3 ชั้น 2 ตับ ระนาบหลังคาอ่อนโค้งเล็กน้อย วางสิงห์คู่ไว้ในตำแหน่งที่นิยมกันในเมืองลำปาง คือ วางชิดตัวอาคาร และยกแท่นให้สูงระดับคอสองเหนือประตู ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง โดยมีลวดลายทองประดับตามส่วนต่าง ๆ งดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน
ทางเข้าด้านหน้าของวิหาร

ลานโล่งรอบๆ วิหาร

หลังคาสามชั้น พร้อมลวดลายประดับในโครงสร้างส่วนต่างๆ

มีพระพุทธรูปเชียงแสน ประดิษฐานอยู่

ลวดลายประดับในส่วนของโครงสร้างอาคาร

มีการติดมุ้งลวดไว้ที่ช่องผนังลูกกรง เพื่อป้องกันยุง แมลง และนกเข้ามาในวิหาร

        พระธาตุ (เดิม) มีขนาดกลาง รูปทรงอาจเรียกทรงล้านนาได้ แต่ก็มีลักษณะพิเศษบางอย่าง เช่น ชั้นฐานทรงสี่เหลี่ยมยกเก็จนั้นยืดสูง และมีชั้นฐานสี่เหลี่ยมเทินรับอีกชั้น หนึ่งจนกลายเป็นจุดเ่นจุดเน้นขององค์พระธาตุ แทนที่จะเป็นชั้นมาลัยเถาเช่นธาตุทรงล้านนาองค์อื่นๆ องค์ระฆังขนาดเล็กเทินบนชั้นมาลัยเถาก็ไม่ใช้รูปทรงระฆังคว่ำ แต่เป็นทรงกระบอกผายออกตอนบนเล็กน้อย บัวก็ทำเป็นแบบบัวคอเสื้อ แทนการใช้บัวคาดขวางกลางองค์ระฆังตามแบบล้านนา

พระธาตุองค์เดิม

ศาลานั่งพัก อยู่ระหว่างทางไปยังพระธาตุดอนเต้า

องค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

มีพระพุทธรูปศิลปะพม่า ประดิษฐานอยู่




       จากนั้นจึงเดินทางมายังหมู่บ้าน คุ้มอินทนิล ศึกษารูปแบบบ้านชาวบ้าน และวิถีชีวิต ในชุมชนแห่งนี้



มีการยื่นเสาเอ็นไม้ออกมาจากแนวเสาคอนกรีตด้านล่าง เพื่อเพิ่มพิ้นที่ใช้งานในส่วนยุ้งข้าวให้มากขึ้น

วัสดุหลังคาคอนกรีตที่ผลิตขึ้นเอง และเก็บสำรองไว้ใช้

ห้องน้ำก่ออิฐ ตั้งอยู่ชั้นล่างนอกตัวบ้านเพื่อป้องกันกลิ่น

บริเวณด้านหน้าทางเข้าบ้าน และลานดินโล่ง (บ้านหลังต่อมา)

เล้าไก่ และคอกหมู

พื้นที่ใต้ต้นไม้ สามารถหลบแดด และให้ร่มเงาได้

นอกจากเป็นพื้นที่นั่งเล่นแล้ว ยังสมารถปรับเป็นที่นอนได้อีกด้วย

ลานดินโล่ง ใช้ประโยชน์ในตอนกลางวันได้ เมื่อมีร่มเงาจากต้นไม้

รั้วไม้ไผ่ ประยุกต์ใช้ร่วมกับรั้วธรรมชาติอย่างต้นไม้

ทางเข้าบ้านด้านหน้า (บ้านหลังต่อๆ มา)

Space within Space

โปร่ง และ ทึบ

       หลังจากศึกษาบ้านชาวบ้านแล้ว เราก็เดินทางไปยัง วัดข่วงกอม ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี สร้างโดยครูบาศรีวิชัย เดิมมีสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะซ่อมแซม จึงเกิดการร่วมแรงร่วมใจระหว่างชาวเมืองปาน ช่างฝีมือท้องถิ่นและสถาปนิกของการเคหะแห่งชาติ โดยการนำของ ดร.วทัญญู ณ ถลาง อดีตผู้ว่าคนแรกของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งท่านเป็นสถาปนิกมีชื่อเสียงคนหนึ่งของไทย ที่มาใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการที่จังหวัดลำปาง ออกแบบวัดข่วงกอมใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่โบสถ์ ศาลาราย หมู่กุฏิ ซุ้มประตูโขงและภูมิทัศน์แวดล้อม โดยยังคงเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมล้านนาเดิมของท้องถิ่น ก่อสร้างด้วยวัสดุพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่นนำมาประยุกต์กับเทคโนโลยี สมัยใหม่ ทำให้ได้ผลงานออกมางดงามตามความต้องการของทุกฝ่าย และเป้นผลงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง


ทางเข้า และซุ้มประตูด้านหน้าวัด

อุโบสถวัดข่วงกอม หลังจากสร้างขึ้นใหม่

ลักษณะช่องเปิดทางตั้ง เอกลักษณ์ล้านนา

ระเบียงแก้ว รูปแบบคล้ายกับวัดไหล่หิน

โครงสร้างหลังคาระเบียงแก้ว
โครงสร้างรับรับน้ำหนัก และส่วนยื่นของชายคาของหลังคา

ลานโล่งบริเวณด้านหน้าของวัดข่วงกอม

ส่วนที่พักรองรับนักท่องเที่ยว

โครงสร้างชั้นหนึ่งเป็นคสล. ,ชั้นสองเป็นไม้ ,โครงสร้างหลังคา และกระเบื้องใช้วัสดุเป็นไม้ เช่นกัน


ชานพักรวมกลางแจ้ง

ซุ้มประตูทางเข้า ออกแบบให้สัมพันธ์กับธรรมชาติมากที่สุด
ผังสเกชตำแหน่งที่พักรองรับนักท่องเที่ยว

ถนนในระแวกหมู่บ้าน

ทุ่งนาอันเขียวขจี

ศาลาพักร้อนปลายนา




       ที่สุดท้ายในวันนี้ เรามากันที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งมีที่พักผ่อนทั้งในส่วนของน้ำพุร้อน ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณราวกับสายหมอก น้ำพุร้อนมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของน้ำพุร้อนประมาณ 73 องศาเซลเซียส ที่นี่สามารถนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ให้สุกได้ โดยสำหรับไข่ไก่แช่นานประมาณ 17 นาที
       และพื้นที่บางส่วนที่เป็นน้ำตก พวกเราส่วนใหญ่จะลงเล่นน้ำตกกันก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงขึ้นไปแช่น้ำร้อนในบ่อ ซึ่งให้ความรู้สึกดีเลยทีเดียว (ถ้าเป็นฤดูหนาวจะดีมาก)


บ่อน้ำพุร้อน และโขดหิน กระจัดกระจายเต็มพิ้นที่

บ่อแช่ไข่นกกระทา และไข่ไก่

ป้ายทางเข้า อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
       แล้วก็หมดไปอีกหนึ่งวัน สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ วันนี้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เคยเรียนมาแล้วซึ่งอาจยังไม่เคยได้ใช้ หรือสัมผัสจริง เช่นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ หรือการมองให้เห็นความงาม เป็นต้นอีกทั้งยังได้ความสนุก และความสดชื่นหลังจากได้แช่น้ำร้อนอีกด้วย แล้วพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้...นะครับ

สำหรับวันนี้....."หมดยกที่ 3"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น